ReadyPlanet.com


ค่าเงินบาทวันนี้ 26/10/65 เปิดที่ระดับ 38.05 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น ค่าเงินบาทวันนี้ 26/10/65


  

ค่าเงินบาทวันนี้ 26/10/65 เปิดที่ระดับ 38.05 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น

ค่าเงินบาทวันนี้ 26/10/65 เปิดที่ระดับ 38.05 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น


ค่าเงินบาทไทยเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ 38.05 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น นักลงทุนลดการถือครองดอลลาร์ หลังตลาดคลายกังวลเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายปี

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย ระบุ ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ที่ระดับ 38.05บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 38.29 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าเร็วกว่าที่คาด จากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ซึ่งหากตลาดยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อ ก็อาจเห็นการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง หนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้

อย่างไรก็ดี ประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทอาจจำกัดอยู่ในโซน 37.80-37.90 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากบรรดาผู้นำเข้าต่างรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่อาจเริ่มกลับมาอยู่ในโหมด Wait and See เพื่อรอจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางหลักสำคัญ ทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในช่วงปลายสัปดาห์ ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสถานะถือครองที่ชัดเจนอีกครั้ง

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย คงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.90-38.15 บาท/ดอลลาร์

สำหรับผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-On) ท่ามกลางความหวังว่า เฟดอาจชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ในช่วงปลายปี หลังจากรายงานข้อมูลเศรษฐ กิจสหรัฐฯ ล่าสุด เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ลดลงต่อเนื่องต่ำกว่าระดับ 50 จุด รวมถึง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CB Consumer Confidence) เดือนตุลาคมที่ลดลงแย่กว่าคาด

นอกจากนี้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาดยังได้ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +1.63% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดตลาด +2.25% ตามแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ หลังจากที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.09% ตามการปรับลดมุมมองการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของผู้เล่นในตลาด

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +1.44% จากอานิสงส์ของรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ Adyen +5.8%, ASML +3.8% เช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังมีความเสี่ยงที่จะถูกกดดันจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจท่ามกลางแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อสูง ความเสี่ยงวิกฤตพลังงาน และการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการประชุม ECB ในวันพฤหัสฯ นี้

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 110.95 จุด (-0.95%) ตามการเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาด ที่กดดันให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดการถือครองเงินดอลลาร์ลง

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันโดยการแข็งค่าขึ้นกว่า +1.2% ของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) สู่ระดับ 1.146 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ท่ามกลางความหวังของผู้เล่นในตลาดว่า นายกฯ คนใหม่ของอังกฤษ นาย Rishi Sunak จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้

ทั้งนี้การปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) รีบาวด์ขึ้น สู่ระดับ 1,655 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งคาดว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำอาจมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ โดยเฉพาะแรงขายจากผู้เล่นที่เข้าซื้อทองคำในจังหวะที่ย่อตัวใกล้โซนแนวรับ 1,620 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในสัปดาห์ก่อนหน้า

สำหรับวันนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากผลประกอบการส่วนใหญ่ยังคงออกมาดีกว่าคาด ก็จะสามารถช่วยหนุนบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดการเงินได้

ส่วนในฝั่งไทยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะอยู่ที่ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ (Trade Data) โดย ตลาดประเมินว่า ผลกระทบของการชะลอตัวเศรษฐกิจโลกจะกดดันให้ยอดการส่งออกของไทยโตเพียง +4.4%y/y ในขณะที่ยอดการนำเข้ายังคงอยู่ในระดับสูงและขยายตัวกว่า +20%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้าในเดือนกันยายนจะยังคงขาดดุลราว -2.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งหากดุลการค้าขาดดุลกว่าคาดและยังมีทิศทางขาดดุลต่อเนื่องก็อาจกดดันการฟื้นตัวของดุลบัญชีเดินสะพัด แม้จะเริ่มมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นก็ตาม ทำให้เงินบาทอาจไม่สามารถแข็งค่าขึ้นไปได้มากในปีนี้

ขอขอบคุณ:  ข่าวเศษฐกิจ



ผู้ตั้งกระทู้ ตั๊ก :: วันที่ลงประกาศ 2022-10-26 11:57:15 IP : 49.229.241.235


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.